Logo
User
Memberสมัครสมาชิก

ข่าวดีครึ่งปีหลัง ! บทวิเคราะห์คาดการณ์ค่าระวางหลังจากนี้ลดลงต่อเนื่องถึงสิ้นปี

ข่าวดีครึ่งปีหลัง ! บทวิเคราะห์คาดการณ์ค่าระวางหลังจากนี้ลดลงต่อเนื่องถึงสิ้นปี

เขียนโดย

Kittisak Jinjo

ข่าวดีครึ่งปีหลัง ! บทวิเคราะห์คาดการณ์ค่าระวางหลังจากนี้ลดลงต่อเนื่องถึงสิ้นปี

แม้ช่วงการส่งออกในช่วงที่ผ่านมาต้องเผชิญความท้าทายอย่างหนักหน่วงจากทั้งสงครามการค้า เศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศ แต่ก็ยังพอมีข่าวดีให้ผู้ส่งออกได้ชื้นใจอยู่บ้าง

โดยในรายงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 (Drewry's Container Forecaster - 2Q25 edition) ระบุการคาดการณ์ค่าระวางเฉลี่ยทั่วโลกจะลดลงถึง 19 % ในปี 2025 (YoY) ตามมาด้วยลดลงอีก 17% ในปี 2026 (YoY) แม้ค่าระวางในช่วงเดือนพฤษภาคมจนถึงช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาจะปรับสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าก็ตาม

ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่ค่าระวางปรับขึ้นมาสูงมากแล้วในช่วงหลัง ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ การลดลงของคำสั่งซื้อและความไม่มั่นใจของนักลงทุนทั่วโลก

ทีนี้มาลองดูปัจจัยเสี่ยงทั้ง 4 อย่างในครึ่งหลังของปีนี้ ที่อาจทำให้การปรับลดลงของค่าระวางชะลอตัวลง หรือแม้แต่อาจกระตุ้นค่าระวางให้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นก็เป็นไปได้เช่นกัน

1. ท่าเรือ
ภายในประเทศ - ปัญหารถติดในท่าเรือแหลมฉบัง ยังคงเป็นปัจจัยกระทบกับผู้ส่งออกไทยตลอดปี ที่ทำให้การคืนตู้สินค้าอาจต้องรอคอยเป็นหลักสิบชั่วโมง เสี่ยงต่อตู้สินค้าตกเรือ เป็นต้นทุนซ้ำซ้อนแก่ผู้ส่งออก ประกอบกับการรวมกับขึ้นราคาของผู้ประกอบการรถหัวลากในต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กลายเป็นอีกปัจจัยค่าขนส่งที่ผู้ส่งออกต้องแบบรับตั้งแต่สินค้าไม่ทันขึ้นเรือด้วยซ้ำ


ต่างประเทศ - ปัญหาท่าเรือแออัดหลายท่าเรือทั่วโลก โดยเฉพาะจีนกับยุโรป โดยในสัปดาห์ที่ 25 มีอัตราส่วนเรือตกค้างสะสมในท่าเรือเทียบกับกองเรือทั่วโลก (ทั้งเทียบท่าอยู่และรอคิวเทียบท่า) เพิ่มขึ้นเป็น 8.41 % จาก 8.02 % ในสัปดาห์ที่ 22 สะท้อนให้เห็นว่าปัญหายังไม่ได้ทุเลาลงนัก โดยเฉพาะในยุโรปที่ตอนนี้ความแออัดในหลายท่าเรือเริ่มแผ่ขยายผลกระทบไปสู่การขนส่งสินค้าทางรางและทางแม่น้ำแล้ว ซึ่งต่างมีบทบาทสำคัญในการกระจายสินค้าและการหมุนเวียนตู้คอนเทนเนอร์ภายในยุโรป และกลายเป็นงูกินหางที่ทำให้สถานการณ์คลี่คลายยากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็มีข่าวดีอยู่บ้างว่าคาดการณ์ความแออัดจะลดลงหลังจากนี้ แม้จะใช้เวลาในการปรับเข้าสู่ภาวะปกติไปจนเกือบสิ้นปีเลยก็ตาม

2. สภาพอากาศ
ในประเทศ - ภูมิภาคบ้านเรา (Western North Pacific) เริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุมมาสักพักแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปพยากรณ์ว่าจะมีฤดูกาลมรสุมใกล้สภาวะปกติ (near-normal) ถ้าเทียบฤดูกาลมรสุมกับปี 2024 จะมีความถี่ของเหตุการณ์และความรุนแรงมากกว่าเล็กน้อย นั่นหมายความว่ามีโอกาสที่จะเจอเรือ Delay มากกว่าปี 2024 ที่ผ่านมา จึงอาจเป็นปัญหากับการหมุนเวียนสินค้าบ้าง โดยเฉพาะสินค้าขาเข้า


ต่างประเทศ - สำหรับครึ่งปีหลัง 2025 ทั้งในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา มีการพยากรณ์ว่าจะมีค่าอยู่ในสภาพที่เป็นกลาง (neutral) ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่ทั้ง El Niño หรือ La Niña ส่วนเส้นทางสหรัฐอเมริกาทั้งตะวันตกและตะวันออก เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนพฤศจิกายนคาดว่าจะสูงกว่าปกติเล็กน้อยและเป็นหนึ่งในปัจจัยเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด แม้ว่าอาจจะไม่รุนแรงเทียบเท่าฤดูกาลมรสุมในปี 2024 ก็ตาม

3. พลังงาน
ความเสี่ยงในช่องแคบ Hormuz ที่แม้จะยังไม่มีการปิดช่องแคบจริง แต่ก็ยังมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบอยู่ดี ซึ่งน้ำมันเป็นต้นทุนอับดับ 1 ของสายเรือ และยังคงมีผลกระทบทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย

4. การเมืองระหว่างประเทศ
รัสเซียและยูเครนก็ยืดเยื้อ อิสราเอลและอิหร่านก็ไม่แน่นอน ปากีสถานและอินเดียก็มีการปะทะ ส่วนไทยเราเองก็มีข้อพิพาทกับกัมพูชา ปัจจัยเหล่านี้มีผลสำคัญต่อการขนส่งสินค้าทางทะเล เอาแค่ใกล้ๆอย่างการขนส่งสินค้าไปยังกัมพูชาก็มีต้นทุนค่าระวางที่เพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัวแล้ว ส่วนขนส่งไปยังตะวันออกกลางก็มีความเสี่ยง ปัญหาในทะเลแดงที่คลี่คลายก็ยังชี้หัวชี้ก้อยไม่ได้


ที่สำคัญคือการเมืองระหว่างประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลับกลายเป็นปัจจัยที่สามารถเกิดขึ้นและทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อการขนส่งสินค้าทางทะเลและค่าระวางจนกลายเป็นปัจจัยหลักในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมาไปโดยปริยาย

สรุป

ในครึ่งปีหลังที่เหลือ ถ้าหากปัจจัยทั้งหมดที่ว่ามาไม่มีอะไรพลิกกลับตาลปัตรโดยเฉพาะในด้านการเมืองระหว่างประเทศ ก็จะเป็นข่าวดีเยียวยาผู้ส่งออกด้วยการที่ค่าระวางจะปรับตัวลดลงไปตลอดปียาวไปจนถึงปีหน้า โดยเฉลี่ยทั่วโลกจะลดลงถึง 19 % ในปี 2025 (YoY) ตามมาด้วยลดลงอีก 17% ในปี 2026 (YoY) โดยเฉพาะในเส้นทางสำคัญอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกา