คนงานท่าเรือประท้วงหยุดงานครั้งใหญ่ในอเมริกา ที่มาเป็นอย่างไร ควรรู้อะไรบ้าง ผู้ส่งออกต้องรับมือแบบไหน เราสรุปมาให้แล้วโพสเดียวจบ
ที่มา
- อย่างแรกที่ต้องรู้คือ ในโลกตะวันตก โดยเฉพาะในอเมริกา กลุ่มสหภาพแรงงานจะมีอำนาจค่อนข้างมาก ทั้งด้วยตัวกฎหมายที่เอื้อให้ประท้วงหยุดงานได้โดยแทบจะอิสระสมบูรณ์ และยังการรวมกลุ่มกันเป็นสหภาพขนาดใหญ่ของผู้ใช้แรงงาน ในแทบทุกอุตสาหกรรมทั่วประเทศ
- แน่นอนว่าอุตสาหกรรมท่าเรือก็เช่นกัน โดยในการประท้วงหยุดงานครั้งนี้ เป็นการต่อสู้ระหว่าง ILA (The International Longshoremen’s Association) ที่เป็นตัวแทนสหภาพแรงงานท่าเรือนานาชาติของสหรัฐอเมริกากว่า 85,000 คน และ USMX (United States Maritime Alliance) ที่เป็นพันธมิตรของกลุ่มท่าเรือ นายจ้างและธุรกิจขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ในฝั่งตะวันออกของสหรัฐ (รวมไปถึง Gulf Coast)
- สาเหตุก็คือ สัญญาแรงงานเก่าจะหมดอายุลงในวันนี้ (30 กันยายน 2024) และการเจรจาสัญญาใหม่ที่ผ่านมาก็ล้มเหลวมาโดยตลอด ทำให้กลุ่มสหภาพส่งสัญญานเตือนมาหลายครั้งแล้วว่าจะนัดประท้วงหยุดงานกันเป็นครั้งใหญ่ในรอบเกือบ 50 ปี ทั่วทั้งฝั่ง East Coast (ชายฝั่งตะวันออก) รวมไปถึง Gulf Coast (ชายฝั่งทางตอนใต้ติดกับอ่าวเม็กซิโก – ผู้ให้บริการบางเจ้าก็นับรวมเป็นฝั่งตะวันออก)
- ถึงขณะนี้แล้ว สัญญาใหม่ก็ยังเจรจาไม่บรรลุผลสำเร็จ การนัดประท้วงหยุดงานครั้งใหญ่เป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะปะทุในวันพรุ่งนี้ (1 ตุลาคม 2024) พร้อมเรียกร้องข้อเสนอมากมาย ทั้งการขึ้นค่าแรง โบนัส รวมไปถึงการต่อต้าน Automated Port และยังเรียกร้องสูงขึ้นเรื่อยๆ มีข้อมูลว่า USMX เคยเสนอค่าจ้างในระดับ “สูงสุดในทุกอุตสาหกรรม” แต่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับของ ILA
- แน่นอนว่าเรื่องนี้เดือดร้อนภาคธุรกิจภายในประเทศแน่ๆ ดังนั้นจึงมีการรวมตัวกันอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยสมาคมการค้าทุกภาคส่วน จำนวนกว่า 177 สมาคมทั่วสหรัฐฯ ส่งจม. เปิดผนึกส่งตรงถึงทำเนียบขาวให้เข้ามาจัดการปัญหานี้ ด้วยกลัวผลกระทบใน Supply Chain ทั่วประเทศ
- แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ โดยมีเหตุผลว่าจะไม่ใช้อำนาจทางกฎหมายใดๆกับการประท้วงหยุดงานในครั้งนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นเพราะใกล้เข้าสู่ช่วงเลือกตั้งเต็มที รัฐบาลกลางจึงไม่ต้องการเคลื่อนไหวใดๆในตอนนี้
- และด้วยโครงสร้างทางกฎหมายของสหรัฐเอง ทำให้รัฐบาลกลางมีทางเลือกไม่มากมายนักในการจัดการกับปัญหาการประท้วงหยุดงาน โดยมีกฎหมาย Taft-Hartley Act 1997 ที่ประธานาธิบดีจะมีอำนาจในการจัดการก็ต่อเมื่อการประท้วงใดๆนั้นส่งผลต่อ “สุขภาพ” หรือ “ความปลอดภัย” ของชาติเท่านั้น
- โครงสร้างการจ้างงานของหลายๆท่าเรือในอเมริกาก็ยังเป็นอุปสรรคในการรับมือกับเหตุประท้วง หรือแม้แต่ในการเจรจา กล่าวคือ ท่าเรือที่ไม่ใช่เอกชน มักจะมีโครงสร้างการจ้างงานแบบ เจ้าหน้าที่วิสาหกิจของรัฐ (State) หรือ เจ้าหน้าที่ของท่าเรือ (Port Authorities)
- ระบบนี้แตกต่างจากระบบของท่าเรือทั่วไปหรือเอกชน โดยถ้าสมมุติว่าท่าเรือแหลมฉบังใช้ระบบที่ว่า พนักงานและแรงงานทั้งหมด จะขึ้นตรงอยู่กับส่วนกลางหรือก็คือแหลมฉบัง บรรดา Terminal จะไม่มีสิทธิจ้างแรงงานเอง ต้องมาหาแรงงานที่จ้างโดยแหลมฉบังและขึ้นตรงกับแหลมฉบัง โดยจะมีการแจกจ่ายงานให้กับแรงงานทุกเช้าหรือทุกสัปดาห์ บรรดาแรงงานเองก็ต้องไปรับงานในทุกๆเช้า ซึ่งอาจได้งานใน Terminal ไม่ซ้ำกัน หรือแม้แต่รูปแบบงานที่ไม่ซ้ำกัน
- ตัวอย่างเช่น วันนึงคุณขับ RTG ใน Terminal A วันต่อมาคุณอาจจะต้องไปขับรถบรรทุกใน Terminal B แล้วแต่ว่าแรงงานคนนั้นๆมีความสามารถใดบ้าง มีใบอนุญาตอะไรบ้าง ยิ่งมีเยอะก็ยิ่งเข้าถึงโอกาสงาน แต่ก็ไม่ได้การันตีงานเสมอไป ต่อให้มีใบอนุญาตครบทุกอย่าง แต่ก็อาจได้ไปทำงานแบกหาม หรือแม้แต่ไม่มีงานให้ทำเลยก็เป็นไปได้
- ซึ่งระบบนี้เป็นระบบโบราณ ยังคงมีบางท่าเรือในอเมริกาที่ใช้ระบบนี้อยู่ โดยเฉพาะในฝั่ง East Coast ที่เป็นกลุ่มเมืองแรกๆในการก่อร่างสร้างเมืองตามประวัติศาสตร์
- แน่นอนว่าระบบนี้คล้ายๆกับรูปแบบของพนักงานรัฐวิสาหกิจ การจ้างงาน หรือการกระทำใดๆ จึงมักมีกฎของรัฐนั้นๆมาควบคุม ซึ่งในอเมริกามีหลายรัฐ กฎของแต่ละรัฐก็แตกต่างกันออกไป เข้มงวด-ผ่อนผันแตกต่างกันออกไป ดังนั้น การกระทำการตามข้อเสนอของ ILA จึงติดขัดตัวกฎ ในขณะเดียวกัน การจะจัดการกับการประท้วง ก็ดันติดขัดตัวกฎเหมือนกัน เรียกได้ว่าขยับทางไหนก็ต้องวิ่งเต้นแก้กฏ ทำให้การกระทำใดๆนั้นของภาครัฐนั้นยิ่งกินเวลามากยิ่งขึ้นไปอีก
ผลกระทบจากสถานการณ์นี้
- ในทันทีเมื่อถึงเที่ยงคืนหนึ่งนาทีของวันพรุ่งนี้ (1 ตุลาคม 2024) พนักงานและแรงงานของท่าเรือกว่า 45,000 คน ใน 36 ท่าเรือทั่ว East Coast และ Gulf Coast จะหยุดปฏิบัติงานทันที และมีแนวโน้มว่าจะขัดขวางการทำงานของท่าเรือด้วย กระทบราวๆ 40% ของการหมุนเวียนตู้ Container เข้าออกของประเทศสหรัฐอเมริกา
- การประท้วงหยุดงานครั้งนี้จะส่งผลกระทบสูงมาก เพราะมีแรงงานเข้าร่วมในหลายท่าเรือ และการประท้วงต่อเนื่อง อาจส่งผลให้มีสินค้าตกค้างในท่าเรือสะสม ที่ต้องใช้เวลาสะสางยาวไปจนถึงปี 2025 และหากประท้วงกันในระดับระยะเวลาหลักเดือน ก็เป็นไปได้สูงว่าจะทำให้ท่าเรือฝั่ง East และ Gulf ต้องเผชิญกับความแออัดไปตลอดปี 2025
- มีการประเมินโดยกลุ่มธนาคาร ว่าการหยุดงานประท้วงเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์จะส่งผลต่อ Capacity โดยรวมประมาณ 500,000 TEUs หรือประมาณ 1.7% ของ Capacity ทั่วโลก เทียบกับเหตุการณ์ทะเลแดง (ที่ยังเป็นปัญหาอยู่จนถึง ณ ตอนนี้) ที่ประมาณ 5% ถึง 9% ของ Capacity ทั่วโลก
- สำหรับผู้ส่งออกไทย สุดท้ายแล้วผลกระทบก็จะตกมาสู่เรื่องของ “ต้นทุน” ที่ตอนนี้มาก้อนแรกแล้วแบบเห็นได้ชัดคือ EOS หรือ Emergency Operations Surcharge หรือค่าธรรมเนียมปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน โดยอยู่ที่ประมาณ 1,000 USD / ตู้สั้น(20ft) และ 1,500-2,000 USD / ตู้ยาว(40ft) แล้วแต่สายเรือหรือผู้ให้บริการ ซึ่งเป็นแค่ Surcharge แยกรายการออกมาเท่านั้น ยังไม่รวมค่าระวางเรือ
- ซึ่งค่าระวางเรือไปอเมริกาจะกลับไปพุ่งขึ้นสูงอีกครั้งอย่างแน่นอน หลังจากลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่เป็นจุดสูงสุดของปี 2024 ซึ่งฝั่ง East Coast หรือชายฝั่งตะวันออกจะเป็นจุดแรกที่ได้รับผลกระทบ จากนั้น ค่าระวางในรอบข้างก็จะมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับต้นทุนค่าระวางที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ตั้งแต่แคนาดา เม็กซิโก อเมริกา(West Coast) หรืออาจลามไปถึงอเมริกากลางก็เป็นไปได้
- สิ่งที่ตามมา ปัญหาความแออัด (Congestion) ซึ่งเป็นปัญหาคาราคาซังมานาน เหตุการณ์นี้จะยิ่งทวีคูณความรุนแรงของปัญหาเข้าไปอีก โดยยิ่งประท้วงนานปริมาณสินค้าตกค้างก็จะยิ่งสะสม และตอนนี้ก็ยังไม่มีท่าทีว่าการเจรจาสัญญาใหม่ที่เป็นต้นเหตุของการประท้วงจะสำเร็จผลแต่อย่างใด ถ้าหากการประท้วงยืดยาวเป็นหลักสัปดาห์ หรือเดือน ก็จะยิ่งเป็นหายนะเข้าไปใหญ่
- เคราะห์ซ้ำกรรมซัดด้วยปัจจัยเรื่องสภาพภูมิอากาศ ซึ่งในอเมริกามีพยากรณ์เมื่อตอนต้นปีว่าจะมีพายุมรสุมมากกว่าและรุนแรงกว่าปีที่แล้ว ซึ่งน่าจะเข้าใกล้ความเป็นจริงเข้าไปทุกที เพราะในขณะที่คุณกำลังอ่าน ณ ตอนนี้ มีพายุนอกชายฝั่ง East Coast ในมหาสมุทร Atlantic ถึง 5 ลูก ! ประกอบไปด้วยพายุที่ขึ้นฝั่งแล้วและกำลังอ่อนแอลง 1 กำลังก่อตัวใหม่ 1 และอยู่ในช่วงกำลังเพิ่มความรุนแรงขึ้นอีก 3
- แคนาดาเองก็ไม่น้อยหน้า ล่าสุด แรงงานท่าเรือใน Montreal ก็มีท่าทีว่าจะประท้วงหยุดงานบ้าง โดยสมาชิกสมาคมแรงงาน หรือ Maritime Employers’ Association (MEA) ปฎิเสธข้อเสนอสัญญาใหม่ และมีการโหวตให้ประท้วงหยุดงานถึง 97.88 เปอร์เซ็นต์
- ถึงแม้การหยุดงานใน Montreal จะเหมือนเป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ เมื่อเปรียบเทียบกับการหยุดงานทั้ง East Coast และ Gulf Coast ของอเมริกา และจะหยุดงานในเบื้องต้นแค่ 3 วันเท่านั้น แต่ Montreal เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในชายฝั่งตะวันออกของแคนาดา ที่เป็นหนึ่งในประตูขนส่งสินค้าสำคัญสู่ Chicago ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการขนส่งและการกระจายสินค้าทางรางของอเมริกาเกินกว่า 50% ของทั้งประเทศรวมกัน ก็เท่ากับว่าน่าจะกระทบกับ Logistics ของอเมริกาอย่างมีนัยสำคัญอยู่ดี
แสงสว่างในยามมืดมิด
- ยังคงมีข่าวดีอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างไร แต่อย่างน้อยปัจจัยเหล่านี้ก็จะไม่ได้ช่วยซ้ำเติมสถานการณ์ให้รุนแรงขึ้น อย่างเช่น สถานการณ์น้ำในคลองปานามา ที่ดีขึ้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากเผชิญภาวะน้ำแล้งในปี 2023 และส่งผลต่อ Supply Chain ของภูมิภาคอเมริกาเหนือตลอดจนอเมริกาใต้ ปรากฏว่า 2024 ปริมาณน้ำฝนค่อนข้างมาก ระดับน้ำไม่เป็นปัญหาต่อการให้บริการเรืออีกต่อไป และคาดว่าระดับน้ำจะยังสูงขึ้นต่อเนื่องไปจนต้นปีหน้า
- อีกหนึ่งข่าวดีคือผลกระทบของสงครามทางการค้าระลอกใหม่ของจีน-สหรัฐอเมริกาได้ยุติลง และค่าระวางปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม ประกอบกับเป็นช่วงปลายของ Peak Season ในเส้นทาง โดยถึงแม้ว่าค่าระวางน่าจะสูงขึ้นอีกครั้ง แต่ก็จะไม่มีปัจจัยเหล่านี้มาช่วยหนุนอีกแล้ว
แนะวิธีรับมือเบื้องต้นของผู้ส่งออก
- ติดตามข่าวสาร – ต้องติดตามข่าวสารโดยใช้วิจารณญาณ เพราะด้วยมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงมีการให้ข่าวที่แตกต่างกันของทั้งสองฝ่าย และต้องติดตามข่าวให้ใกล้ชิดด้วยสถานการณ์อาจพลิกผันได้ตลอด หรือแม้แต่อาจจะมีข่าวดีว่าสถานการณ์ไม่ได้ยืดเยื้อรุนแรงอะไร หรือถ้าสถานการณ์ลุกลามบานปลาย ผู้ส่งออกควรจะรู้สถานการณ์ก่อนที่จะส่งสินค้า หรือดีที่สุดคือรู้ก่อนจะผลิตสินค้าหรือสั่งวัตถุดิบเลยด้วยซ้ำ
- ทำประกันภัย – เรายังคงแนะนำให้ทำประกันภัยเสมอ แม้ว่าในยามฉุกเฉินจะทำประกันภัยยากแค่ไหนก็ตาม(ซึ่งเป็นเรื่องปกติ) การพยายามจะลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้วยการไม่ทำประกันภัยจะไม่มีผลใดๆหากว่าสินค้าของคุณนั้นเกิดมีปัญหาขึ้นมาและไม่มีความคุ้มครองหรือตัวแทนในการเจรจาแก้ปัญหากับภาคส่วนต่างๆ
- สื่อสารกับลูกค้าให้เข้าใจ – ผู้ส่งออกที่ส่งสินค้าไปยังอเมริกา ย่อมรู้ดีถึงธรรมเนียมของผู้ซื้อที่มักนิยมให้ผู้ขายเป็นผู้จัดการดำเนินการขนส่งให้และมีความรับผิดจนถึงปลายทาง ดังนั้นผู้ส่งออกจึงควรสื่อสารให้ความรู้ความเข้าใจถึงสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้น (ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์ในบ้านเขาเองก็ตาม)
- ชะลอการส่งมอบสินค้า – เจรจากับลูกค้าของคุณในเรื่องการชะลอการส่งมอบการส่งสินค้าไปเป็นไตรมาส 4 หรือช่วงต้นปีหน้าหากว่าจำเป็น เหตุเพราะต้นทุนในการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ค่าธรรมเนียม Surcharge ต่างๆที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนการรอคอย โดยเฉพาะตู้ Reefer หรือแม้แต่ต้นทุนแฝงอย่างภาษีคาร์บอนหรือคาร์บอนเครดิตที่เพิ่มขึ้น
- การขนส่งด้วยโหมดอื่น – ลองเจรจากับสายเรือหรือผู้ให้บริการในการขนส่งสินค้าทางเลือก ด้วยการเปลี่ยนท่าเรือปลายทางไปเป็นท่าเรืออื่นที่ไม่มีปัญหา แล้วขนส่งสินค้าต่อด้วยโหมดอื่น (รถไฟ รถบรรทุก หรือแม้กระทั่งเครื่องบิน) ซึ่งย่อมหมายถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จึงควรชั่งน้ำหนักให้ดี พิจารณาปัจจัยให้รอบด้าน ทั้งต้นทุน ระยะเวลาขนส่ง ปัจจัยจากสินค้าของคุณเอง และความต้องการของลูกค้า