ในอีกไม่ถึง24ชั่วโมง Donald Trump จะเข้าสู่พิธีสาบานตนอันหมายถึงการรับตำแหน่งประธานาธิปดีอย่างเป็นทางการและครองอำนาจในทำเนียบขาวอย่างเต็มที่ ในช่วงเที่ยงตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หรือประมาณเที่ยงคืนนี้ตามเวลาบ้านเรา และด้วยการให้คำมั่นว่าจะนำเดินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมักจะเป็นแนวทางสุดโต่ง สุ่มเสี่ยงต่อการสร้างความโกลาหลทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก และอาจทำให้เราสามารถพยากรณ์ชะตาส่งออกไทยของทั้งปี 68 ภายในวันพรุ่งนี้เช้าเลยทีเดียว

ย้อนดูสรุปการคาดการณ์อีกครั้ง ก่อนทุกอย่างจะเริ่มต้นเที่ยงคืนนี้

ผลกระทบด้านบวก

  • การลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น (FDI) : เนื่องจากนโยบายขึ้นภาษีสินค้าจากจีนร้อยละ 60 ย่อมส่งผลให้มีการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน และมีโอกาสที่จะย้ายฐานการผลิตมาไทยและอาเซียนมากขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับประโยชน์ เช่น กลุ่มยานยนต์ และ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
  • การส่งออกเติบโตขึ้นในระยะสั้น : จากการที่สหรัฐฯทำสงครามการค้ากับจีน ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าจากจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะนำเข้าสินค้าจากไทยบางรายการเพื่อทดแทนสินค้าจีน เช่น เซมิคอนดักเตอร์ โซลาร์เซลล์ ถุงมือยาง และ น้ำผลไม้ เป็นต้น

ผลกระทบด้านลบ

  • ความสามารถในการแข่งขันลดลง : จากสงครามการค้าของจีนกับสหรัฐฯ มีแนวโน้มว่าจีนจะมีการระบายสินค้าออกมามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี อีกทั้ง จากการที่นายทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงในระยะสั้น ยิ่งมีผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงมากกว่าเดิม
  • ไทยเสียเปรียบทางการค้า : หากสหรัฐฯมีการทำข้อตกลงการค้าแบบทวิภาคีกับไทย อำนาจการต่อรองย่อมอยู่ที่สหรัฐฯ เนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกค่อนข้างมาก ดังนั้น ไทยอาจถูกกดดันให้เปิดตลาดธุรกิจหรือสินค้าที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐ และอาจจะบีบให้ไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขการค้าที่เอื้อประโยชน์แก่สหรัฐมากขึ้น

ที่ยังคาดการณ์ไม่ได้ ต้องรอความชัดเจนต่อไป

  • การส่งออกไทยมีแนวโน้มชะลอตัว : เนื่องจากการส่งออกไทยพึ่งพาสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก รวมถึงการที่ทรัมป์มุ่งเน้นที่จะลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ไทยมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง จึงมีแนวโน้มว่าไทยอาจถูกใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐฯได้ ส่งผลให้ไทยส่งออกได้ลดลง และต้องเร่งขยายตลาดใหม่มาทดแทน
  • นักลงทุนอาจพากันถอนทุนกลับสหรัฐฯ : จากมาตรการสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ (Reshoring) โดยการลดภาษีนิติบุลคลเหลือร้อยละ 15 จึงมีความเป็นไปได้ว่าการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง

ค่าเงินและราคาทอง

ผลกระทบของนโยบายต่อค่าเงินบาท ปีคาดการณ์ว่าเงินบาทยังคงอ่อนในช่วง 34 – 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรก จากสถานการณ์การเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งแกร่งมากขึ้นจากการดำเนินนโยบายทางด้านภาษีและมาตรการกีดกันทางการค้าของทรัมป์ และการดึงอุตสาหกรรมหลักย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐ แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่มีความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงเพื่อรักษาความสมดุลทางการค้ารวมถึงทำให้สินค้าที่ผลิตในสหรัฐสามารถแข่งขันได้ โดยมองว่าในช่วงครึ่งปีหลัง เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นในช่วง 33.5 – 34.5 จากปัจจัย FED มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีหน้า Capital ไหลกลับเข้า EM เป็นต้น โดยคาดว่าทั้งปี 2568  ค่าเงินบาทจะเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ 33.5 – 35.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ

ในส่วนของราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบในหลายแง่มุม เนื่องจากนโยบายของทรัมป์มุ่งเน้นการปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านแนวทาง “America First” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน รวมถึงราคาทองคำ ซึ่งมีหลายปัจจัยที่จะหนุนให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หากนโยบายของทรัมป์เพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดทางการค้าหรือความไม่แน่นอน รวมถึงความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะและอัตราเงินเฟ้อ เห็นได้จากนโยบายลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลในสมัยแรกของทรัมป์ทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากเกิดสถานการณ์ลักษณะนี้อีกในทรัมป์ 2.0 อาจทำให้เกิดความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ย่อมส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐฯ เกิดความอ่อนแอและทองคำที่มักถูกใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ มีราคาสูงขึ้น 

ในทางกลับกัน ก็มีหลายปัจจัยที่จะหนุนให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการลดภาษีนิติบุคคล เพื่อดึงดูดนักลงทุนย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินดอลลาร์มีค่าแข็งขึ้น อีกทั้งนโยบายสนับสนุนคริปโทเคอร์เรนซี โดยมีแผนสร้าง “กองทุนสำรอง Bitcoin” สำหรับสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ Bitcoin ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์สำรองคล้ายกับทองคำ ส่งผลให้ความต้องการทองคำลดลง ซึ่งอาจกดดันราคาทองคำให้ปรับตัวลดลงได้

สินค้าส่งออกต้องระวัง

ตลาดอเมริกันถือเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดนเป็นร้อยละประมาณ 17 ของการส่งออกทั้งหมดของบ้านเรา ซึ่งสินค้าสำคัญของไทยส่งออกไปสหรัฐ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ 2) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 3) ผลิตภัณฑ์ยาง 4) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ  ทรานซิสเตอร์  และไดโอต และ 5) หม้อแปลงไฟฟ้า กล่าวได้ว่าส่วนมากจัดเป็นกลุ่มสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งยังมีเรื่องดีว่ามีปัจจัยสนับสนุนสินค้ามาจากการฟื้นตัวตามวัฎจักรของเศรษฐกิจดิจิตอล การเข้ามาของเทคโนโลยี AI และอุปกรณ์อัจฉริยะที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น แรงสนับสนุนมาจากการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย

ในส่วนของผลิตภัณฑ์ยาง มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์และล้อยาง อย่างต่อเนื่อง และผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ โดยเฉพาะถุงมือยางที่ความต้องการเพิ่มขึ้นตามโรคอุบัติสารพัดในช่วงหลายปีมานี้

ในขณะเดียวกัน สำหรับปีนี้ สินค้ากลุุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สินค้าที่เกิดดุลกับสหรัฐฯ สูง ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ยาง มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น แต่อาจเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น จากประเทศเพื่อนบ้านที่เริ่มมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น มาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี และปัญหาความไม่แน่นอนด้านผลผลิต

อย่างไรก็ตามปัจจัยที่มีกระทบต่อสินค้าส่งออกซึ่งนอกเหนือจากนโยบายทางการค้าของว่าที่ประธานาธิปดีไฟแรงแล้วยังมีปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ย ซึ่งการปรับอัตราดอกเบี้ยของ FED จะกระทบต่อความผันผวนของค่าเงินและมีผลโดยตรงต่อผู้ส่งออกแล้วนั้น การบริโภคที่ลดลงของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ไทยพยายามเจาะตลาดอยู่นั้นยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการด้วย

สรุป

ณ วินาทีนี้คงไม่มีข่าวไหนสำหรับผู้ส่งออกที่จะสำคัญไปกว่าการติดตามการขึ้นดำรงตำแหน่งของประธานาธิปดีคนใหม่นี้อีกแล้ว ทั้งด้วยนโยบายสุดโต่ง การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ร้อนแรง และการใช้อำนาจทิ้งทวนการดำรงตำแหน่งครั้งสุดท้าย ที่อาจหมายถึงการใช้อำนาจผ่านประกาศฉุกเฉินต่างๆนาๆ โดยไม่สนผลกระทบเพียงเพื่อให้นโยบายของตนผลิดอกออกผลรวดเร็วที่สุด (อ่านข่าวอำนาจประกาศฉุกเฉินของประธานาธิบดีได้ที่ : https://bit.ly/3PAS4Vi )

ดังนั้น คำแนะนำที่ดีที่สุดในตอนนี้สำหรับผู้ส่งออกคือการติดตามอย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับผลกระทบที่อาจมาอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่ผู้ส่งออกสามารถทำได้ในระดับมหภาพ คือการร่วมติดตามและเร่งรัดให้ภาครัฐ ฯ เป็นแกนหลักตั้งโต๊ะเจรจาเพื่อสร้างผลประโยชน์ทางการค้าระหว่างสหรัฐร่วมเอกชน โดยสรท.จะร่วมเป็นอีกแรงในการผลักดัน ซึ่งนอกเหนือจากจะมีโอกาสในการรักษาตลาดส่งออกหลักนี้ไว้ได้แล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการว่าภาครัฐสามารถเป็นตัวกลางในการสร้างความได้เปรียบทางการค้าและแสวงหาตลาดส่งออกใหม่ให้กับภาคเอกชนได้อีกด้วย

ติดตามข่าวสารนี้อย่างใกล้ชิด รวมไปถึงการร่วมผลักดันให้เกิดแรงหนุนจากรัฐได้ที่สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย