รถบรรทุกติดหนัก-รอคิวยาวท่าเรือแหลมฉบัง กระทบส่งออก-ซัพพลายเชน
ท่าเรือแหลมฉบังกับปัญหารถติดเป็นของคู่กันและมีมาเนิ่นนานราวผูกติดกันไว้ แต่ล่าสุดเหมือนจะวิกฤติรุนแรงสุดเท่าที่เคยมีมากับการต้องจอดรถรอคอยในบางครั้งเป็นเวลาเกือบยี่สิบชั่วโมง
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ได้รับทราบปัญหาสภาพความแออัดของการจราจรในบริเวณท่าเรือแหลมฉบังมาตลอด ซึ่งกินระยะเวลามาหลายปี ทำให้เกิดความล่าช้าในการขนส่งสินค้าทางถนนเข้าและออกท่าเรือ เกิดระยะเวลารอคอยของรถบรรทุกหรือรถหัวลากยาวนานหลายชั่วโมง จนมีข้อมูลมาเมื่อล่าสุดที่ชี้ให้เห็นว่ากลับมามีปัญหารถติดในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีการจอดรถรอคอยราวเกือบ 20 ชั่วโมง จนเดือดร้อนผู้ประกอบการทั้งโซ่อุปทาน กระทบหนักทั้งต้นทุนค่าน้ำมัน ค่าเสียเวลา ส่วนผู้นำเข้าส่งออกเองก็มีความเสี่ยงสินค้าตกเรือ หรือสินค้านำเข้าไม่สามารถนำออกจากท่าเรือได้ตามกำหนด และสุดท้ายก็มากระทบอยู่ที่ต้นทุนของผู้ส่งออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะกลายเป็นต้นทุนโลจิสติกส์โดยรวมของประเทศต่อ GDP ในท้ายที่สุด ยังไม่รวมผลกระทบอื่นๆอย่างการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น หรือแม้แต่ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เป็นอีกประเด็นน่าวิตกกังวล ณ ปัจจุบัน

เพราะฉะนั้นเราก็ต้องย้อนกลับมาดูพื้นฐานง่ายๆ ในเมื่อประเทศชาติพึ่งพาการส่งออกเป็นหัวใจหลักสำคัญของรายได้และการหนุนตัวเลข GDP ให้สวยหรู แล้ว”การส่งออกจะแข่งขันกับต่างชาติได้อย่างไร หากสินค้าไม่ทันไปไหนก็มีปัญหาในชาติตัวเองเสียแล้ว” ถึงเวลาหรือยังที่ภาครัฐจะต้องหันมาดูภาพรวมว่าผู้ที่เดือดร้อนไม่ใช่แค่ผู้ส่งออกและผู้ประกอบการอื่นๆในห่วงโซ่อุปทาน แต่ยังกระจายวงกว้างไปถึงการแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง การดึงดูดการลงทุนของต่างชาติและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เรียกได้ว่าเดือดร้อนกันทั้งบ้านเมือง

โดยที่ผ่านมามีความพยายามแก้ไขปัญหานี้มาตลอดจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ผ่านเวทีการประชุมหารือต่างๆ เกิดให้มีการลงทุนหลายอย่าง เช่นการปรับปรุงหรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในท่าเรือแหลมฉบัง แต่ปัญหารถติดกลับไม่มีความคืบหน้าคลี่คลายลงมากนัก ด้วยการจะแก้ปัญหาจะต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเต็มที่จากหลายฝ่ายหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
สรท. ในฐานะองค์กรตัวแทนของผู้ส่งออกก็ได้เข้าร่วมผลักดันมาโดยตลอด ด้วยรู้ดีว่าเป็นต้นทุนที่ผู้ส่งออกและนำเข้าต้องแบกรับ ซึ่งเล็งเห็นว่าภาคเอกชนจะเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เกิดการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง จึงได้มีการจัด Workshop กับกลุ่มผู้ประกอบการเอกชน เพื่อรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ความเห็นและข้อเสนอแนะ จาก 5 หน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สมาคมเจ้าของและตัวแทนเรือกรุงเทพ, สมาคมผู้ประกอบการท่าเรือสินค้าและคอนเทนเนอร์, สมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางน้ำ, สมาคมตัวแทนออกของรับอนุญาตไทย และสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สรท. ยังได้นำสาระสำคัญจาก Workshop นำไปผลักดันต่อในเวทีสำคัญถึงรัฐสภาฯ ในคณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร โดยมีสาระสำคัญแบ่งเป็นประเด็นปัญหา 5 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านข้อจำกัดของผู้ส่งออกนำเข้า, 2.ด้านข้อจำกัดของการขนส่งด้วยเรือชายฝั่ง, 3.ด้านข้อจำกัดของการขนส่งทางราง, 4.ด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบการจราจรในท่าเรือ และ 5.ด้านความแออัดของท่าเทียบเรือสัมปทาน และข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาอีก 5 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการขับเคลื่อนระดับนโยบาย, 2.ด้านโครงสร้างพื้นฐาน, 3.ด้านกระบวนการทำงานและเทคโนโลยีสารสนเทศ, 4.ด้านกฎหมายและกฎระเบียบ และ5.ด้านอื่นๆ


และเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม สรท.ยังได้มีการเข้าพบหารือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เกี่ยวกับปัญหาความแออัดท่าเรือแหลมฉบัง ประกอบกับมีการลงพื้นที่ในช่วงเดือนกลางมกราคมที่ผ่านมา และจะมีการนำไปสู่เวทีการประชุมในคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการภายใต้สำนักเลขาธิการรัฐมนตรี ในช่วงประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ และสรท.เองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริงต่อไป
สำหรับสมาชิกผู้ส่งออก หากเจอปัญหาใดๆ มีข้อร้องเรียน หรือมีข้อเสนอแนะ เราขอให้ท่านสมาชิกแจ้งมายังสรท. เพื่อให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นปากกระบอกเสียงให้ท่านและร่วมผลักดันภาครัฐให้เกิดกระบวนการแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยสามารถแจ้งเหตุและส่งข้อมูลประกอบมาได้ที่ [email protected] หรือ 02-679-7555 และท่านสามารถติดตามการผลักดันข้อเสนอแนะของสรท.เพื่อให้เกิดการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
สุดท้ายแล้วการจะแก้ปัญหาอย่างได้ผลลุล่วงก็ขึ้นอยู่กับภาครัฐว่าจะจริงจังได้แค่ไหนกับการแก้ไข กับปัญหากัดกินชาติบ้านเมืองที่คาราคาซังผ่านมาหลายยุคหลายสมัยไม่ว่ากี่รัฐบาล พวกเราทุกภาคส่วนจำต้องร่วมติดตามและวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินการของหน่วยงานรัฐ อันจะเป็นการกดดันให้ภาครัฐจัดการกับเนื้อร้ายหลายชั่วโคตรนี้ให้จบลงเสียที