สงบศึกการค้า 90 วัน สหรัฐ – จีน จับมือชั่วคราว ฟื้นฟูการค้าและเศรษฐกิจ

เมื่อวานนี้ที่ผ่านมา (12 พฤษภาคม) .ในที่สุดสองยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและจีนได้บรรลุข้อตกลงในการชะลอการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาทางการค้าและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้ทั้งสองประเทศลดภาษีนำเข้าระหว่างกันลงรวม 115% เป็นระยะเวลา 90 วัน โดยอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนของสหรัฐฯ จะลดลงเหลือ 30% ขณะที่จีนจะลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 10%อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ จะระงับการขึ้นภาษีสินค้าจีนในบางรายการ ขณะที่จีนก็ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และเปิดตลาดบางส่วนให้กว้างขึ้น การจับมือชั่วคราวครั้งนี้มีขึ้นเพื่อบรรเทาความตึงเครียดทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศมหาอำนาจและถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการทบทวนเพื่อทำความตกลงทางการค้าในอนาคต หากการเจรจาประสบความสำเร็จ อาจนำไปสู่การยกเลิกมาตรการภาษีบางส่วนอย่างถาวร แต่หากล้มเหลวก็อาจส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าอีกครั้งและอาจมีความรุนแรงมากกว่าเดิมในขณะเดียวกันผู้ส่งออกไทยควรเฝ้าระวังผลกระทบต่อการจองระวางไปยังสหรัฐอเมริกาหรือในเส้นทาง Trans-Pacific โดยจากก่อนหน้านี้ที่กองเรือและตู้สินค้าถูกดึงมาให้บริการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การดึงอุปทานเหล่านี้กลับไปยังจีนอาจกระทบตารางเรือ ปริมาณตู้ และค่าระวางของประเทศไทย รวมถึงอาเซียนเช่นกัน

ความขัดแย้งอินเดียและปากีสถาน กับการขนส่งสินค้าทางทะเลไทย

จากประเด็นความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานที่ปะทุขึ้นในพื้นที่รัฐแคชเมียร์ภายใต้การปกครองของอินเดีย ทำให้เกิดเหตุปะทะตามมาหลายเหตุการณ์ และได้มีการเคลื่อนไหวของกองกำลังทางทหารของทั้งสองรัฐ ส่งผลต่อความตึงเครียดในภูมิภาค ตลอดจนการเดินเรือสินค้าในพื้นที่อ่าวเปอร์เซีย อ่าวโอมาน และทะเลอาหรับ ทั้งยังส่งผลต่อการขนส่งสินค้าทางทะเลของไทยด้วย สรุปผลกระทบกับผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออกของไทย: ข้อแนะนำสมาชิกที่ขนส่งสินค้าไปยังเส้นทาง India – Pakistan รวมถึงเส้นทาง Red Sea และ Sudan: โดยในระหว่างนี้สรท. ในฐานะองค์กรตัวแทนผู้ส่งออกจะประสานงานกับการท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อขอให้มีการจัดเตรียมพื้นที่ลานกองเก็บตู้นอกท่าเทียบเรือให้เพียงพอต่อความต้องการเพื่อป้องกันปัญหาความแออัดของการจราจรในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงสายการเดินเรือต่างๆ เพื่อติดตามสถานการณ์และแนวทางการดำเนินการของสายเรือต่อสถานการณ์ความไม่สงบในแต่ละพื้นที่ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้ส่งออกและท่านสมาชิกทราบและสามารถเตรียมการรับมือต่อไป

เพียงแค่กางปีก ทิศลมเศรษฐกิจก็เปลี่ยน – แสนยานุภาพต่อการค้าโลกของพญาอินทรีย์

เราปฎิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจและการค้าโลกได้รับอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญจากพญาอินทรีย์อย่างสหรัฐอเมริกา จากความยุ่งเหยิงทางเศรษฐกิจที่ลามไปทั่วโลกในไตรมาสที่ผ่านมานับตั้งแต่ทรัมป์ขึ้นรับเป็นประธานาธิบดีคนใหม่เต็มตัว เราได้เห็นหลายอย่างที่เราไม่คาดว่าจะเห็นมาก่อน ทว่าเมื่อมองให้ลึกลงไปเราก็จะได้เห็นอีกว่า เพียงยังไม่ครบขวบปีแรกของการดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ก็สามารถเขย่าเศรษฐกิจโลกด้วยวิธีการง่ายๆอย่างการขึ้นภาษีเพียงเท่านั้น ซึ่งเป็นอีกปัจจัยช่วยย้ำเตือนให้เห็นว่าพญาอินทรีย์มีบทบาทและความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกขนาดไหน 1. เพียงแค่กางปีก ทิศลมเศรษฐกิจก็เปลี่ยน อย่างแรกมาดูภาพรวมของไทยเราเอง นับตั้งแต่เริ่มกางปีกหรือเริ่มประกาศนโยบายภาษีตั้งแต่เดือนแรกของปี ภาพรวมไตรมาสแรกส่งออกมูลค่า 81,532.3 ล้านเหรียญฯ ขยายตัวร้อยละ 15.2 โดยเดือนมีนาคมมีการส่งออกมูลค่า 29,548.3 ล้านเหรียญฯ ขยายตัวร้อยละ 17.8 นับว่าสูงที่สุดในรอบ 36 เดือน มีกำลังหนุนมาจากการเร่งนำเข้าสินค้ามากขึ้นในช่วง 90 วัน หลังประกาศเลื่อน Reciprocal Tariff โดยเฉพาะจีนเร่งนำเข้าสินค้าวัตถุดิบหรือสินค้าขั้นกลางที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ และวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น ตามความต้องการอุปกรณ์ไอทีและสมาร์ทโฟนก็มากขึ้นเช่นกัน รวมถึงการเติบโตของเทคโนโลยี AI แถมไทยยังได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตและการทดแทนสินค้าจีนในหลายตลาด พร้อมทั้งมีการเติบโตของการส่งออกทองคำและอัญมณีและเครื่องประดับ ที่ขยายตัวในอัตราที่สูงกว่า 142%… Read More

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย แถลงข่าวข้อเสนอแผนรับมือ Reciprocal Tariffพร้อมเสนอเร่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อรับมือรูปแบบการค้าใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน 2568 เวลา 13.30 น. นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก แถลงข่าวร่วมกับนายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธาน และนายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร โดยระบุ 4 ประเด็นหลักประกอบด้วย ประเด็นที่ 1 สภาผู้ส่งออกประเมินว่าสหรัฐอเมริกาจะเจรจากับประเทศคู่ค้าเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน และในท้ายที่สุดอาจมีการเรียกเก็บ Reciprocal Tariff ในอัตรา 10% ประเด็นที่ 2 ควรเจรจาโดยแยกมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ผลิตภายใต้การลงทุนของสหรัฐ และเพิ่มการนำเข้าสินค้าทุนที่ไทยต้องการจากสหรัฐ ประเด็นที่ 3 รัฐและเอกชนควรเร่งวางกลยุทธ์รายกลุ่มสินค้าและคู่ค้า โดยต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพการค้าและการลงทุนที่ได้รับผลจากนโยบายภาษีนำเข้า และเน้นการกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสในกรอบความร่วมมือ เช่น อาเซียน–สหรัฐ… Read More

180 วัน ภาษี(ค่าธรรมเนียม)เรือจีน มุ่งเป้าดึงอุตฯต่อเรือกลับอเมริกา

ดูเหมือนไม่ใช่แค่ Tariff ที่เป็นกำแพงขวางให้การส่งออกต้องทุลักทุเลในปีนี้แต่ยังมีประเด็นด้าน “ค่าธรรมเนียม(Fees)เรือจีน” ได้แก่เรือที่สร้างในประเทศจีนหรือสายเรือจีน ที่อเมริกามุ่งเป้าเก็บเงินจริงจังโดยเริ่มตุลาคมนี้เป็นต้นไปและทยอยเก็บมากขึ้นเรื่อยๆตามเวลาแม้ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เรื่องนี้เป็นเพียงแค่ข้อเสนอของ USTR ที่แทบไม่มีใครเห็นด้วยในเวทีเปิดรับฟังความเห็นสาธารณะหรือประชามติในประเทศตัวเอง โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน น้ำมัน เกษตรกร หรือแม้แต่กลุ่มผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่ต่อต้านข้อเสนอนี้เป็นอย่างยิ่ง ด้วยมองว่าจะกลายเป็นต้นทุนด้านพลังงาน และแปรผันกลายไปเป็นต้นทุนอุปโภคบริโภคของพลเมืองอเมริกันและกลายเป็นเงินเฟ้อในท้ายที่สุดแต่ใช่ว่าจะกระทบกับความสุดโต่งของประธานาธิปดีแต่อย่างไร แถมยังยักไหล่แล้วไปต่อกับนโยบายนี้ เซ็นลงคำสั่งเรียบร้อยและพร้อมจะเริ่มเก็บภาษีเรือที่สร้างในประเทศจีนและสายเรือจีน ด้วยมุ่งหวังด้านความมั่นคงทางการค้าและเป้าหมายดึงอุตสาหกรรมต่อเรือกลับประเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำของการขนส่งสินค้าทางทะเล จึงนับได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งโดยในปัจจุบัน อุตสาหกรรมต่อเรือ โดยเฉพาะเรือตู้คอนเทนเนอร์ (Container Vessels) ที่มีบทบาทการค้าโลกอย่างมากในยุคหลายสิบปีที่ผ่านมาต่างเทกองไปอยู่ที่จีน เป็นบรรไดไต่เต้าพาขึ้นครองส่วนแบ่งการตลาดเกินครึ่งโลกแซงหน้าแชมป์เก่าอย่างญี่ปุ่น ในขณะที่อเมริกากลับถดถอยมาโดยตลอดนับตั้งแต่ช่วงพีคในยุคสงครามเย็นในปี 1980ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทรัมป์กล่าวอ้างและยังเป็นไปได้สูงว่ายังมีเป้าหมายเพื่อนำเม็ดเงินไปเป็นกองทุนให้ Maritime Action Plan หรือแผนปฎิบัติการทางทะเลที่จะมุ่งเป้าที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือ, การฝึกอบรมแรงงานทางทะเล และแน่นอนว่าการอุตสาหกรรมการต่อเรือของสหรัฐอเมริกา ที่ Trump เองก็พึ่งจะเซ็นไปสดๆร้อนเมื่อ 9 เมษายนที่ผ่านมาสำหรับรายละเอียดของยโยบายค่าธรรมเนียม ถึงแม้จะไม่ได้โหดเหมือนข้อเสนอใน… Read More

Reciprocal Tariff เลื่อน 90 วัน ต่อเวลาหายใจการส่งออก

เมื่อคืนที่ผ่านมามีข่าวดีให้ผู้ส่งออกได้ชื่นใจอยู่บ้างแม้จะเพียงชั่วคราวก็ตามเมื่อทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐฯ สหรัฐฯ จะระงับการบังคับใช้ภาษีการค้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) เป็นเวลา 90 วัน และลดภาษีต่างตอบแทนเหลือ 10% สำหรับกว่า 75 ประเทศที่ร่วมเจรจาแก้ปัญหาด้านการค้าโดยไม่ตอบโต้ ตรงกันข้ามกับจีนที่จะตอบโต้กลับเป็น 125% ซึ่งมีผลทันที โดยทรัมป์ได้โพสต์โซเชียลมีเดียว่า “เนื่องจากการขาดความเคารพต่อตลาดโลกที่จีนแสดงออกมา จึงขอเพิ่มภาษีศุลกากรที่สหรัฐอเมริกาจะเก็บจากจีนเป็น 125% มีผลบังคับใช้ในทันที” และ “กว่า 75 ประเทศที่ได้ติดต่อประสานงานกับตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ทั้งจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เพื่อหารือและร่วมกันหาทางออกต่อประเด็นข้อพิพาททางการค้า จากการเจรจาดังกล่าว ได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะไม่ดำเนินมาตรการตอบโต้ต่อสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จึงได้อนุมัติการระงับใช้มาตรการภาษีเป็นเวลา 90 วัน พร้อมทั้งประกาศลดอัตราภาษีตอบโต้อย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียง 10% โดยให้มีผลบังคับใช้ในทันที” ถึงตอนนี้ยิ่งเป็นที่ชัดเจนแล้วว่ามาตรการภาษีอาจเป็นเพียงกลยุทธ์อย่างหนึ่งของทรัมป์… Read More

สภาผู้ส่งออกเสนอ ‘3 เร่ง’ รับมือ Reciprocal Tariff

ในการแถลงข่าวสถานการณ์ส่งออกประจำเดือนช่วงเช้าวันนี้ที่ผ่านมา สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สภาผู้ส่งออก) ชี้ว่าภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2568 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 26,707.1ขยายตัวร้อยละ 14 และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 906,520 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.4 แต่ประเด็นร้อนแรงที่สุดแน่นอนว่าเป็นเรื่อง Reciprocal Tariff ของทรัมป์ที่ประกาศแจกจ่ายให้ชาวโลกพร้อมเรียกว่าเป็น “การปลดแอก” และประเทศไทยเราได้รับอัตราภาษีตอบโต้เป็น 36% ที่แม้จะน้อยกว่าเพื่อนบ้านคู่แข่งอย่างเวียดนาม (46%) แต่ก็มากกว่าฟิลิปปินส์(17%) มาเลเซีย(24%) และอินโดนีเซีย (32%) โดยสหรัฐถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย ซึ่งเป็นราว 1 ใน 5 ของการส่งออกทั้งหมด ทำให้มาตรการนี้เสี่ยงจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าส่งออกท็อป 15 ที่มีการส่งออกสหรัฐ มูลค่าสูง… Read More

The Water and the Fire of the Maritime Major Routes | EP1 –  “น้ำ” : The Water of Panama Canal

คลองปานามานับเป็นน้อง คลองสุเอซนับเป็นพี่ เมื่อเอาสำนวนไทยมาเล่นคำตามนี้ก็น่าจะช่วยสื่อให้เข้าใจได้เป็นอย่างดีสำหรับบทบาทต่อการเดินเรือและการค้าโลกของทั้งสองคลอง ซึ่งต่างมีความสำคัญในการขนส่งสินค้าทางทะเลทั้งคู่ เพียงแต่คลองสุเอซเปรียบดังเป็นผู้พี่ด้วยต้นกำเนิดที่มาก่อน ทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่า ปริมาณที่เรือมากกว่า รายได้ที่มากกว่า และมีบทบาทต่อการค้าโลกมากกว่า และทั้งสองคลองก็ยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญยิ่งของประเทศปานามาและประเทศอียิปต์ ทว่าช่วงสองถึงสามปีมานี้กลับเกิดเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้เสือนอนกินทั้งสองต้องเริ่มระส่ำอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยหลักแล้วคือด้านการเมืองระหว่างประเทศ และยังมีประเด็นหนักหน่วงอย่าง “น้ำ” และ “ไฟ” ที่ทำให้ทั้งสองประเทศอาจต้องเปลี่ยนมุมมอง ไม่อาจเป็นเสือนอนกินอาศัยแต่ในถ้ำอีกต่อไป ในบทความนี้จะให้คุณได้เห็นถึงความสำคัญ บทบาท และมุมมองของทั้งสองคลอง ต่อการค้าโลกตลอดจนผู้ส่งออกไทย โดยแบ่งเป็น 2 EP, ความหมายโดยนัยของน้ำและไฟ พร้อมเจาะลึกครบทุกปัจจัยไล่แต่ อดีต ปัจจุบัน ไปจนถึงอนาคต The Water and the Fire of the Maritime Major Routes… Read More

จับตาหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ เสนอเก็บค่าธรรมเนียมเรือจีน – สายเรือจีน

อเมริกาจ่อเรียกภาษีเรือที่ต่อโดยจีน – สายเรือสัญชาติจีน ในการเทียบท่าสหรัฐสูงสุดลำละ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อลำ ต่อการเทียบท่า 1 ครั้ง แม้ภาษีดังกล่าวยังเป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้น แต่ก็เพียงพอต่อการสร้างความวิตกกังวลไปทั่วโลก ด้วยเม็ดเงินมหาศาลและข้อเสนอที่ยังคลุมเครือว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งตอนนี้ยังสามารถสรุปสถานการณ์ได้โดยคร่าว ดังนี้ 1. เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐประเมินว่าเรือขนส่งสินค้าที่ชักธงสหรัฐมีน้อยจนก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเรียกใช้งานยามสงคราม ขณะที่ อุตสาหกรรมต่อเรือของสหรัฐไม่สามารถแข่งขันกับอุตสาหกรรมต่อเรือของต่างประเทศได้ 2. USTR หรือ Office of the United States Trade Representative หรือ สำนักงานด้านตัวแทนการค้าของสหรัฐอเมริกามีข้อเสนอให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเรือคอนเทนเนอร์ที่เข้าเทียบท่าเรือในสหรัฐฯ 3. ค่าธรรมเนียมดังกล่าวอาจสูงสุดถึง 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ… Read More

สุดทน ! 9 ทัพองค์กร รวมกลุ่มจี้ภาครัฐ แก้ปัญหารถติดท่าเรือแหลมฉบัง

ช่วงเช้าของวันนี้ที่ผ่านมา (26 ภุมภาพันธ์ 2568) สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ร่วมกับ กลุ่มองค์กรที่เดือดร้อนจากปัญหารถติดท่าเรือแหลมฉบัง รวม 9 หน่วยงาน ได้เข้าร่วมพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างกัน การแถลงข่าว และงานเสวนาภายใต้หัวข้อ “วิกฤติท่าเรือแหลมฉบัง อนาคตหรือบทเรียน” จัดโดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยร่วมกับสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย จากปัญหารถติดในท่าเรือแหลมฉบังซึ่งคาราคาซังมาอย่างยาวนานหลายปี ทั้ง 9 หน่วยงานจึงร่วมหารือ เพื่อชี้แจงผลกระทบต่อผู้ใช้บริการนำเข้าและส่งออก ซึ่งส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจ ด้านการขนส่ง, โลจิสติกส์ และภาคเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง และระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาท่าเรือแหลมฉบังซึ่งเกิดจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งเรายังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเคลื่อนไหวจากการรวมกันของภาคเอกชนในครั้งนี้จะสื่อสารนัยสำคัญไปยังภาครัฐ พร้อมทั้งกดดันให้มีการแก้ปัญหาให้จบลง ให้มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม และขอเชิญชวนทุกท่าน ให้ร่วมติดตามและกดดันภาครัฐ โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการและขนส่งสินค้า หรือ กบส. ซึ่งจะประชุมในช่วงเดือนมีนาคมนี้ อันจะมีวาระการแก้ไขปัญหารถติดแหลมฉบังบรรจุในการประชุมครั้งนี้ด้วย ซึ่งผลการประชุมจะออกมาอย่างไร จะเป็นจุดสำคัญที่ชี้ว่าภาครัฐให้ความสนใจความเดือดร้อนของประชาชนมากแค่ไหน โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการโลจิสติกส์… Read More